
ช่วงวันที่ 2 ต.ค. นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พื้นที่) พูดว่า
ต.ค. เดือนที่ความเคลื่อนไหวที่เชิญให้พวกเราได้ทวนรวมทั้งเกิดภาวะตาสว่างอีกทีของบริบทการบ้านการเมืองไทย ถ้าเกิดย้อนกลับไปในในสถานะการณ์วันที่ 14 ตุลา 2516 ตนอยู่ในขบวนนิสิตช่วงเวลานั้น พวกเราศึกษาความไม่ชอบธรรมท่ามกลางกระแสคลื่นประชาธิปไตยหลังถูกกดทับจากอำนาจเผด็จการต่อเนื่องยาวนาน นับตั้งแต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต่อเนื่องมาในสมัยถนอม- ประภาส ส่งผลให้ระบบความคิดเราเชื่อมโยงกับปัญหาการเมือง เศรษฐกิจและสังคมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็น ความไม่เป็นธรรม ความทุกข์ยากของเกษตรกร ความเหลื่อมล้ำของสภาพชนชั้นในสังคม การใช้อำนาจของชนชั้นนำที่กระทำและกดทับต่อXOSLOTการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ผ่านการใช้กฎหมายและจารีตที่ครอบงำความเชื่อของสังคมไว้อย่างต่อเนื่อง
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ช่วงชีวิตตอนเป็นนักศึกษา เรายังมีโจทย์ที่ไม่ซับซ้อนมาก เราอยากเห็นชาวนามีชีวิตที่ดีขึ้น กรรมกรมีค่าแรงที่ดีขึ้น นักศึกษาจบมาควรมีงานทำ มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรในสังคมอย่างยุติธรรมเสมอภาคกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกใคร ชาวนาหรือคหบดี นี่คือความหวังพื้นฐานของเราในเวลานั้น 48 ปีที่ผ่านมา กลับมามองบ้านเมืองเราในวันนี้ ก็พบว่าเรายังคงยืนอยู่ในจุดเดิมที่ยังไม่เห็นสังคมที่เป็นธรรม สังคมที่ยังไม่มีการกระจายโอกาสให้กับทุกคนอย่างทั่วถึง และ สังคมที่ยังคงมีความเหลื่อมล้ำที่อาจจะสูงกว่าเดิมด้วยซ้ำ เหตุปัจจัยที่เป็นรากของปัญหายังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง แต่ผมมั่นใจว่าในความสำนึกรู้คิดของเราเปลี่ยนแปลง และค่อยๆ สั่งสมสำนึกใหม่ที่นำพาเราไปสู่ภาวะตาสว่างมากขึ้น
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของเหตุการณ์ในเดือนตุลาคม มีผลต่อการทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้อมูลใหม่ๆ ได้รับการนำเสนอจากหลากหลายแง่มุม หลากหลายบุคคล ทำให้เราเข้าถึงและเข้าใจเหตุปัจจัยและตัวละครที่เปลี่ยนแปลงไป แต่แท้จริงแล้วยังคงมีรากเหง้าจากระบบเดิม วันนี้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหามากมายที่สร้างความบอบช้ำให้แก่ประชาชนอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต บั่นทอนความเป็นมนุษย์และศักดิ์ศรี ปิดกั้นความหวังและความฝันของผู้คนไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด ผู้คนในสังคมรู้สึกมืดมน หม่นหมอง แม้เพียงการใช้ชีวิตไปวันๆ สถานะความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่เคยอดทน อดกลั้นและพยายามจะใช้ชีวิตของตนและครอบครัวให้ดีที่สุดกลับติดอยู่ในกับดักของความสิ้นหวัง ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้น คือ การที่ต้องใช้ชีวิตภายใต้โครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรม ถูกเอาเปรียบแถมตอกย้ำภายใต้การจัดการของหัวหน้าและก็พรรคพวกที่ล้มเหลว ซึ่งมิได้มีที่มาจากอำนาจของสามัญชนอย่างแท้จริง รวมทั้ง ยังเป็นหัวหน้าที่ไม่มีสมรรถนะอย่างสมบูรณ์แบบในทุกข้างในสายตาของราษฎร และก็เป็นกรุ๊ปหัวหน้าที่มาจากพื้นฐานเดียวกันของอำนาจไม่เป็นธรรมเดิมในอดีตกาล
Be the first to comment